top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนNet Zero Techup

♻️ The Merge ของ Ethereum ช่วยลดโลกร้อนจริงหรือ?

อัปเดตเมื่อ 5 พ.ย. 2566


The Merge หรือ Ethereum 2.0 คือ การเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบธุรกรรมจากกลไก Proof-of-Work (PoW) เป็นกลไก Proof-of-Stake (PoS) เนื่องจากระบบ Proof-of-Work ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการตรวจสอบธุรกรรม ดังนั้น Ethereum จึงเปลี่ยนระบบเป็น Proof-of-Stake เนื่องจากสามารถลดพลังงานไปได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับกลไกเดิม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การทำธุรกรรมรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือ ช่วยลดโลกร้อน และประหยัดพลังงานมากขึ้น


🚩 ก่อนการอัปเกรด The Merge ในปี 2022 การใช้พลังงานของ Ethereum อยู่ระหว่าง 46.31 ถึง 93.98 เทระวัตต์ชั่วโมง (TWh) ต่อปี และได้มีการบันทึกการใช้พลังงานต่ำสุดของ Ethereum เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2019 อยู่ที่ 4.75 TWh ต่อปี


เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2022 บล็อกเชน Ethereum ได้ย้ายจาก Proof-of-Work (PoW) ไปเป็นกลไกฉันทามติ Proof-of-stake (PoS) ในความพยายามที่จะเปลี่ยนไปสู่บล็อกเชนสีเขียว (Green Blockchain) สิ่งที่ตามมาคือการใช้พลังงานทั้งหมดของเครือข่าย Ethereum ลดลงอย่างมากถึง 99.9% และยังคงรักษาการใช้พลังงานในระดับต่ำ ส่งผลให้ปัจจุบัน carbon footprint ของเครือข่ายอยู่ที่ 0.1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) ต่อปี

โดยหนึ่งธุรกรรมบน Ethereum จะใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 0.03 kWh เทียบเท่าปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 0.01 kgCO2 ซึ่งเทียบเท่ากับพลังงานที่ใช้ในการรับชม YouTube เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ตามข้อมูล Digiconomist


🚩 องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) เปิดเผยรายงานการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปี 2022 ว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกทุบสถิติมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือรถยนต์ไฟฟ้า ที่ช่วยลดผลกระทบจากถ่านหินและน้ำมันก็ตาม


รายงานจาก IEA ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2023 ระบุว่า ปี 2022 ทั่วโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 เป็น 36,800 ล้านตัน อีกทั้งยังมีการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เหตุเพราะหลายประเทศในยุโรปเปลี่ยนมาใช้พลังงานที่ปล่อยมลพิษสูงกว่า อันเป็นผลมาจากสงครามรัสเซียยูเคลน โดยลดการพึ่งพาการส่งก๊าซจากรัสเซีย


อย่างไรก็ตาม การปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด มาจากการผลิตไฟฟ้าและการผลิตความร้อน ซึ่งปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดย IEA ระบุว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่รุนแรงสุดขั้ว ควบคู่กับการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่


✅️ ดังนั้น การเติบโตของพลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ถือเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยลดโลกร้อน ถ้าไม่มีพลังงานสะอาด คงมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเพิ่มขึ้น ต่อให้มีการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงานมากแค่ไหน หรือใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการลดพลังงานไฟฟ้า เช่น การทำธุรกรรมของ Ethereum ก็ตาม ถ้าแหล่งที่มาของพลังงานยังคงเป็นพลังงานจากฟอสซิล ก็ไม่ได้ช่วยให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงแต่อย่างใด เว้นเสียเเต่ Ethereum และบริษัทต่างๆ หันมาใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากพลังงานทดแทนเท่านั้น อย่างไรก็ดี การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประหยัดพลังงานยังคงมีความจำเป็นในยุคปัจจุบัน เพื่อความยั่งยืนและเก็บสำรองพลังงานเพื่อลูกหลานต่อไป


🚩 แหล่งที่มาของข้อมูล:



---------------------------------------------------

ติดตามข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ ได้ที่

Facebook: Net Zero Techup


ดู 8 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page